
ยูนิเซฟชี้มีเด็กเกือบ 50 ล้านคนทั่วโลกต้องอพยพย้ายถิ่นฐาน ในจำนวนนี้ เด็ก 28 ล้านคนต้องย้ายถิ่นหนีภัยจากความรุนแรงและความขัดแย้ง
รายงานฉบับล่าสุดขององค์การทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ หรือยูนิเซฟ ที่มีชื่อว่า การย้ายถิ่นฐาน: วิกฤตการณ์ของเด็กผู้อพยพและลี้ภัย (Uprooted: The Growing Crisis for Migrant and Refugee Children) เผยแพร่โดยสำนักงานใหญ่เมื่อวานนี้ ระบุว่ามีเด็กเกือบ 50 ล้านคนทั่วโลกต้องถูกบังคับให้ย้ายถิ่นฐาน ในจำนวนนี้มีเด็กถึง 28 ล้านคนต้องย้ายถิ่นหนีภัยจากเหตุการณ์ความรุนแรงและความขัดแย้ง ซึ่งเด็กๆ เหล่านี้ต้องเผชิญความเสี่ยงและอันตรายต่างๆ เช่น เสี่ยงต่ออุบัติเหตุและการจมน้ำตายระหว่างเดินทางข้ามทะเล เสี่ยงต่อการขาดน้ำและสารอาหาร ตลอดจนเสี่ยงต่อการตกเป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ การถูกลักพาตัว การถูกข่มขืนและแม้แต่การถูกฆาตกรรม อีกทั้งเด็กๆ ยังมักเผชิญกับการถูกเลือกปฏิบัติและการเหยียดชาติพันธุ์ระหว่างการหนีภัยและในประเทศปลายทาง
ทั้งนี้ยูนิเซฟเก็บสถิติตั้งแต่ปี 2533 มาจนถึงปี 2558 มีผู้อพยพย้ายถิ่นฐานทั้งเด็กและผุ้ใหญ่รวมแล้ว 244 ล้านคน และมีจำนวนเพิ่มขึ้นถึงราว 90 ล้านคนภายใน 25 ปี ทั้งนี้เอเชียเป็นทวีปที่มีเด็กผู้อพยพอาศัยอยู่มากที่สุดในโลก เด็กเกือบ 12 ล้านคนเป็นผู้อพยพที่อาศัยอยู่ในทวีปเอเชีย ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 39 ของผู้อพยพเด็กทั่วโลก โดยประเทศซาอุดิอาระเบียเป็นที่อยู่ของเด็กผู้อพยพจำนวนมากที่สุดในเอเชีย และเป็นอันดับที่สองของโลก ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงผลกระทบของความขัดแย้งมากขึ้นเรื่อยๆ
ร้อยละ 45 ของเด็กผู้อพยพภายใต้ความดูแลของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) มาจากประเทศซีเรียและอัฟกานิสถาน
รายงานยังพบวามีเด็กอพยพข้ามชายแดนโดยลำพังมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยในปี พ.ศ. 2558 มีเด็กที่เดินทางโดยไม่มีผู้ปกครองกว่า 100,000 คนที่ยื่นขอลี้ภัยใน 78 ประเทศ ซึ่งเพิ่มขึ้น 3 เท่าจากปี พ.ศ. 2557 โดยเด็กๆ เหล่านี้มีความเสี่ยงสูงต่อการถูกละเมิด การถูกแสวงประโยชน์ และการถูกค้ามนุษย์ และมีเด็กอีกประมาณ 20 ล้านคนที่ต้องอพยพย้ายถิ่นด้วยเหตุผลหลายประการ เช่น หนีความยากจน หรือ ความรุนแรงจากกลุ่มมิจฉาชีพ เด็กเหล่านี้เสี่ยงต่อการถูกทำร้ายและถูกควบคุมตัวเนื่องจากไม่มีเอกสารรับรองการเกิด ไม่มีสถานะทางกฏหมาย นอกจากนี้ ยังไม่มีการติดตามชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขาอย่างเป็นระบบ ทำให้เด็กกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ขาดโอกาสและถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง
ข้อมูลจากรายงานฉบับนี้ชี้ว่าการย้ายถิ่นฐานที่เป็นไปอย่างปลอดภัยและเป็นระบบ สามารถสร้างโอกาสที่ดีในชีวิตให้แก่เด็กและชุมชนใหม่ที่พวกเขาย้ายไปอาศัยอยู่ได้ จากการวิเคราะห์ผลกระทบของการย้ายถิ่นฐานในประเทศรายได้สูงพบว่า ผู้ย้ายถิ่นฐานจ่ายภาษีและค่าใช้จ่ายทางสังคมมากกว่าที่พวกเขาได้รับเสียอีก นอกจากนี้ ยังช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานทั้งมีทักษะและไม่มีทักษะได้เป็นอย่างดี และมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจของประเทศเจ้าภาพเติบโตขึ้นอีกด้วย
แต่ในความเป็นจริง เด็กๆที่ย้ายถิ่นฐานมักไม่ได้รับสิ่งที่จำเป็นสำหรับพวกเขา เช่น การศึกษา ซึ่งเด็กผู้อพยพมีความเสี่ยงที่จะไม่ได้ไปโรงเรียนมากกว่าเด็กปรกติถึงห้าเท่า และหากพวกเขาได้ไปโรงเรียน ก็มักจะถูกแบ่งแยก ไม่ได้รับความยุติธรรมและถูกรังแก และข้อจำกัดทางกฏหมายยังทำให้เด็กผู้อพยพย้ายถิ่นฐานไม่ได้รับการบริการที่เท่าเทียมกับเด็กคนอื่นๆในประเทศ อีกทั้งอาจยังต้องถูกรังเกียจจากประชากรของประเทศนั้นๆ และนำไปสู่การทำร้ายร่างกายกันได้ ยกตัวอย่างเช่น ในปี 2558 รายงานจากทางการระบุว่ามีเหตุโจมตีค่ายผู้อพยพในเยอรมนีถึง 850 คดี
นายแอนโทนี เลค ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การยูนิเซฟ กล่าวว่า “ภาพของเด็กบางคน เช่น ร่างเล็ก ๆ ของอัยลาน เคอร์ดี ที่นอนเสียชีวิตอยู่บนชายหาดหลังเรืออพยพล่ม หรือใบหน้าของออมราน ดัคนีช ที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่นกับเลือดในขณะที่เขานั่งเหม่ออยู่ในรถพยาบาลหลังบ้านถูกระเบิดทำลายจนพังยับเยิน เป็นภาพที่ทำให้คนทั้งโลกตกตะลึง ภาพแต่ละภาพ ไม่ว่าจะเป็นเด็กหญิงหรือเด็กชาย เป็นตัวแทนของเด็กอีกหลายล้านคนทั่วโลกที่กำลังตกอยู่ในอันตราย ความเห็นอกเห็นใจที่เรามีแก่พวกเขา ควรจะส่งไปพร้อมๆ กับความช่วยเหลือที่เราต้องมีให้แก่เด็กทุกคนที่กำลังประสบภัยด้วย”
ภาพกราฟิตี้ซึ่งศิลปินชาวเยอรมันวาดลงบนกำแพงบริเวณท่าเรือในเมืองแฟรงก์เฟิร์ต เยอรมันนี รำลึกถึง ดช. อัยลาน เคอร์ดีที่จมน้ำเสียชีวิตขณะลี้ภัย เมื่อปีที่แล้ว
Post A Comment:
0 comments: